ย้ำความเข้าใจให้ตรงกัน ค่ายานอกบัญชีเก็บกับ สปสช. ผู้ป่วยสิทธิ ‘บัตรทอง’ ไม่ต้องจ่าย

ปัญหาผู้บริโภคที่เข้าไปใช้บริการตามสิทธิบัตรทอง โดนเรียกเก็บเงินเพิ่มจากค่ายานอกบัญชียาหลักรวมกว่า 1.7 ล้านบาท ผลักดันให้สภาผู้บริโภค และ สปสช. ออกมาย้ำความเข้าใจให้ตรงกันอีกรอบว่า ‘สิทธิ บัตรทอง ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายยานอกบัญชีฯ’ สถานพยาบาลไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ป่วย

วันนี้ 4 เมษายน 2566 สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดงานแถลงข่าวเรื่อง “สิทธิบัตรทองใช้ยานอกได้หรือไม่ รพ.สามารถเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ป่วยได้หรือไม่” เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงสิทธิของตัวเอง รวมถึงชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้บริโภสถานพยาบาลทุกระดับ ที่ร่วมให้บริการดูแลผู้ป่วยที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท”

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค และอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมการมีส่วนร่วม สปสช. กล่าวว่า การถูกเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลของผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท โดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บ (Extra Billing) เป็นประเด็นที่สภาผู้บริโภค และ สปสช. ได้รับการร้องเรียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมามีความพยายามเพื่อแก้ปัญหา โดยมีการชี้แจงและทำความเข้าใจแล้ว

แต่สถานพยาบาลหลายแห่งยังไม่เข้าใจว่า ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ได้ให้คุ้มครองดูแลประชาชนผู้มีสิทธิให้เข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุข เพื่อไม่มีปัญหาค่าใช้จ่ายที่เป็นอุปสรรค ซึ่งในทุกรายการที่ให้บริการผู้ป่วย ทางสถานพยาบาลสามารถเรียกเก็บจาก สปสช. เพื่อเบิกจ่ายจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้โดยที่ไม่ต้องเรียกเก็บจากผู้ป่วย

กรณีของการถูกเรียกเก็บค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นหนึ่งในประเด็นของการร้องเรียนนี้ ซึ่งกรณีจ่ายยาตามรายการบัญชียาหลักแห่งชาติมีความเข้าใจตรงกันอยู่แล้วว่าให้เบิกค่ายากับ สปสช. แต่ในส่วนของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ “ขอย้ำว่าหากผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา สถานพยาบาลก็สามารถมาเบิกจาก สปสช. ได้เช่นกัน”

ซึ่งส่วนนี้สถานพยาบาลยังไม่เข้าใจ ทำให้มีผู้ป่วยถูกเรียกเก็บค่ายาดังกล่าวทั้งที่เรียกเก็บไม่ได้ โดยข้อมูลสถานการณ์ในปี 2565 มีการร้องเรียนการถูกเรียกเก็บเงินจากการเข้ารับบริการโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท จำนวน 577 เรื่อง เป็นเงินทั้งสิ้น 9,110,737 บาท ในจำนวนนี้กรณีเรียกเก็บค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ จำนวน 32 เรื่อง เป็นจำนวนเงิน 1,724,703 บาท

“ผลการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการถูกเรียกเก็บค่ายานอกบัญชีฯ เราพบว่าผู้ป่วยต้องได้รับยาโดยเป็นไปตามการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ ไม่มีรายการยาใดที่ใช้ทดแทนได้ จึงถึงเป็นความจำเป็นทางการรักษาที่ผู้ป่วยต้องได้รับ ดังนั้นโรงพยาบาลต้องเรียกเก็บจาก สปสช. ไม่ใช่เรียกเก็บจากผู้ป่วย ซึ่งในท้ายที่สุดคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขได้มีมติให้ทางโรงพยาบาลคืนเงินค่ายาให้กับผู้ป่วย” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าว

สารี กล่าวต่อว่า มีกรณีตัวอย่างเป็นผู้ป่วยหญิง อายุ 65 ปี มีสิทธิบัตรทองใน กทม. ที่คลินิกชุมชนอุ่น และศูนย์บริการสาธารณสุขในเขตพื้นที่หนึ่ง วันที่ 25 สิงหาคม – 6 กันยายน 2565 เข้ารักษาที่โรงพยาบาลรัฐสังกัด กทม. ตามแพทย์นัดเพื่อผ่าตัดด้วยภาวะลำไส้อุดตัน หลังรับการรักษาโรงพยาบาลเรียกเก็บเงินจำนวน 9,440 บาท โดยรับแจ้งว่าเป็นค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติและไม่สามารถเบิกจาก สปสช. ได้

และกรณีผู้ป่วยหญิง อายุ 23 ปี มีสิทธิบัตรทองที่ จ.เชียงใหม่ มีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 และวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เข้ารักษาที่โรงพยาบาลตติยภูมิใน จ.เชียงใหม่ ตามแพทย์นัด โดยมีหนังสือส่งตัวจากสถานพยาบาลประจำ ซึ่งการเข้ารักษาทั้ง 2 ครั้ง โรงพยาบาลเรียกเก็บค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ รวมเป็นเงิน 13,795 บาท เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเป็นค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ เบิกจาก สปสช. ไม่ได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 กรณี ได้ร้องเรียนมาที่ สปสช. โดยภายหลังคณะกรรมการควบคุมคุณภาพฯ ได้พิจารณาให้คืนเงินนี้กับผู้ป่วย

ทั้งนี้ ในส่วนอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิฯ ได้มีการหารือในปัญหาการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นนี้ และเห็นตรงกันว่าสถานพยาบาลไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วยได้ ดังนั้นจึงขอใช้เวทีแถลงข่าวนี้ทำความเข้าใจกับสถานพยาบาลที่ร่วมดูแลผู้ป่วยบัตรทองทั่วประเทศ

ด้าน บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า จากการสำรวจของสมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตกในเรื่อง การใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสิทธิบัตรทอง โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 303 คน จาก 3 อำเภอในจังหวัดสมุทรสาคร อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปที่เคยเข้าใช้บริการในโรงพยาบาล พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าร้อยละ 80 ทราบว่าตัวเองมีสิทธิอะไรบ้าง แต่ปัญหาข้อติดขัดในการใช้สิทธิบัตรทอง อันดับ 1 คือการถูกเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลร้อยละ 22.9 ถูกค่ายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ร้อยละ 10 ปฏิเสธการรักษาพยาบาลร้อยละ 5.7 ไม่อำนายความสะดวกในการส่งต่อ ร้อยละ 4.3 และปฏิเสธผู้ป่วยฉุกเฉิน ร้อยละ 2.9

 

เมื่อถามต่อไปว่าเมื่อเจอปัญหาแล้วร้องเรียนหรือไม่ และอะไรที่ทำให้ตัดสินใจไม่ร้องเรียน พบว่าผู้บริโภคกลัวว่าหากร้องเรียนไปแล้วจะส่งผลต่อคุณภาพในการรักษาพยาบาลครั้งต่อไป คิดเป็นร้อยละ 80.6 ค่าใช้จ่ายไม่มาก พอรับได้ ร้อยละ 1.6 เข้าโรงพยาบาลเอกชนสบายใจกว่า ร้อยละ 1.6 ไม่มีเวลาร้องเรียน / คิดว่าร้องเรียนแล้วเสียเวลา ร้อยละ 1.6 ไม่อยากทำลายชื่อเสียงโรงพยาบาล ร้อยละ 1.6 กลัวโดนกลั่นแกล้งร้อยละ 1.6

บุญยืน กล่าวอีกว่า เมื่อผู้บริโภคพบปัญหาการใช้สิทธิบัตรทอง อยากให้ร้องเรียนหรือแจ้งปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ เนื่องจากการร้องเรียนจะเป็นการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ “ในเมื่อประชาชนมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่ทำไมเมื่อผู้ป่วยเข้ารับบริการที่สถานพยาบาลจึงไม่ได้ใช้สิทธิที่ตัวเองมี เพราะฉะนั้น ไม่ว่า สปสช. จะเพิ่มสิทธิให้ประชาชนอีกมากมายเท่าไร แต่ถ้าสิทธิเดิมที่มีอยู่เขายังใช้ไม่สะดวก ยังถูกเรียกเก็บเงิน อยากให้ สปสช. จัดการปัญหาเหล่านี้” บุญยืนระบุ

ด้าน ผศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งขาติ อธิบายเรื่องยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ว่า คนจำนวนไม่น้อยมีความเชื่อว่ายาในบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นยาที่ราคาถูกหรือไม่ดี แต่ความจริงแล้วยาที่อยู่ในบัญชียาหลักคือรายการยาที่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งระบบการคัดเลือกยาที่อยู่ในรายการบัญชียาหลักนั้นต้องข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ครบถ้วนและละเอียดพอ หรืออาศัยระบบการให้คะแนนที่มีประสิทธิผล ร่วมกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการแพทย์ เภสัชศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สาธารณสุข เป็นต้น

“อย่างไรก็ตาม อาจมีผู้ป่วยบางรายหรือบางโรคที่แพทย์เจ้าของไข้สั่งจ่ายยานอกบัญชี เนื่องจากยาในบัญชียาหลักอาจจะไม่เหมาะกับผู้ป่วยรายนั้น ๆ ซึ่งในกรณีที่แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ แต่หากเป็นกรณีที่แพทย์ไม่ได้สั่งจ่าย แต่คนไข้เป็นผู้เรียกร้องเองว่าอยากได้ยาตัวนี้ ตัวนั้น กรณีนี้คนไข้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่ายาเอง” ผศ.ภญ.ยุพดี กล่าว

สำหรับกรณีผู้บริโภคที่ถูกเรียกเก็บเงินโดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บนั้น สปสช.ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามแก้ไข ทั้งขยายสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมทุกบริการที่จำเป็น รวมถึงยาต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาทให้เข้าถึงบริการ ไม่มีอุปสรรคเรื่องค่าใช้จ่าย แม้ในบางกรณีเป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก แต่ผู้ที่มีรายได้น้อยก็เป็นอุปสรรคได้ พร้อมจัดทำ “คู่มือ Extra Billing อะไรทำได้ ทำไม่ได้” เพื่อทำความเข้าใจกับสถานพยาบาลระบบบัตรทอง โดยเป็นการขับเคลื่อนภายใต้นโยบายของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบอร์ด สปสช.

ทั้งนี้ ยืนยันว่าสถานพยาบาลไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้มีสิทธิบัตรทองได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับบริการในเวลาทำการหรือนอกเวลาทำการ การเข้ารับบริการที่สถานพยาบาลประจำหรือสถานพยาบาลปฐมภูมิในเครือข่าย การเข้ารับบริการกรณีที่มีเหตุสมควรและกรณีอุบัติเหตุ เจ็บป่วยฉุกเฉิน การรับบริการกรณีที่ส่งต่อ และการเข้ารับบริการของทหารผ่านศึกและคนพิการ ตามสิทธิได้รับตามกฎหมาย

นอกจากนี้การใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ เวชภัณฑ์ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือการตรวจพิเศษต่าง ๆ ตามที่แพทย์ตรวจและวินิจฉัย สถานพยาบาลไม่มีสิทธิเรียกเก็บเช่นกัน รวมไปถึงค่าอวัยวะเทียม อุปกรณ์ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การใช้เวชภัณฑ์ ที่สถานพยาบาลมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในลักษณะเป็นค่าบริการหรือรายการอุปกรณ์

ยกเว้นให้เรียกเก็บเงินได้ใน 3 กรณี คือ 1. ร่วมจ่ายค่าบริการ ณ จุดบริการในอัตรา 30 บาท 2. บริการที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง เช่น บริการเสริมความงาม บริการที่อยู่นอกเหนือความจำเป็นข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ และที่อยู่ระหว่างค้นคว้าทดลอง เป็นต้น และ 3. การเข้ารับบริการที่ไม่ใช่หน่วยบริการประจำของตน โดยไม่มีการส่งต่อ หรือไม่ใช่กรณีเหตุสมควร หรืออุบัติเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน

#สภาองค์กรของผู้บริโภค #สภาผู้บริโภค #ผู้บริโภค

ปรึกษาปัญหาผู้บริโภค