นักวิชาการห่วงกฎหมายคุม NGO ชี้ภาคประชาสังคมมีผลถ่วงดุล ‘ทุน’ จี้สร้างความเข้มแข็งแทนการลดทอน

นักวิชาการจี้รัฐสร้างความเข้มแข็งภาคประชาสังคม แก้ปัญหาภัยคุกคามสังคมที่กำลังท้าทายมากขึ้น แทนการออกกฎหมายควบคุม-ทำให้อ่อนแอ ชี้ NGO สร้างความสมดุล-ถ่วงดุลในระบบทุนนิยม  

 


นายเดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2564 อนุมัติหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. … ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ทำให้มีข้อห่วงใยจากหลายภาคส่วนถึงเนื้อหาของกฎหมายฉบับนี้ ที่มีสาระสำคัญส่วนใหญ่เป็นการควบคุมและจำกัดการรวมกลุ่มของประชาชน มากกว่าการส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็ง

นายเดชรัต ระบุว่า ภาคประชาสังคมเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร แต่ก็ถือเป็นสาขาหนึ่งของภาคเศรษฐกิจ โดยในช่วงปี 2554–2557 มีอัตราการเติบโต 5% ของจีดีพี และสัดส่วนค่อยๆ เพิ่มขึ้นจาก 0.97% ในปี 2553 เป็น 1.11% ในปี 2557 อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา อัตราการเติบโตของสาขาองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรก็ลดลงอย่างน่าตกใจ โดยปี 2558-2562 มีอัตราการเติบโตเพียงประมาณ 1-2% ของจีดีพี ซึ่งลดจาก 1.11% ในปี 2557 เหลือเพียง 1% ในปี 2562

“สถานการณ์ขณะนี้จึงย้อนกลับไปอยู่ที่เดิมเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งจากข้อมูลที่มีอาจยังไม่สามารถระบุถึงปัจจัยที่ทำให้การเติบโตของสาขาองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรลดลงอย่างน่าตกใจ อาจจะเป็นปัจจัยทางนโยบาย ปัจจัยทางการเมือง ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือปัจจัยทางสังคม ที่อาจจะมีผู้ให้ความสนใจในสาขานี้น้อยลง จึงต้องมีการวิเคราะห์เชิงลึกต่อไป” นายเดชรัต กล่าว

นายเดชรัต กล่าวว่า อย่างไรก็ตามพอจะบอกได้ว่าสัญญาณดังกล่าวน่าจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก ในภาวะที่สังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาความท้าทายทางสังคมมากขึ้นเรื่อย เช่น สังคมสูงวัย ความไม่มั่นคงในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเรียนรู้ของคนรุ่นวัยต่างๆ ดังนั้นเพื่อให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ประเทศไทยควรส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง

นายเดชรัต กล่าวอีกว่า ในประเทศที่เน้นคุณภาพชีวิตของประชาชน จะให้ความสำคัญกับภาคสังคมมาก เพราะมีส่วนในการปิดช่องว่าง ตรวจสอบ ถ่วงดุล ในระบบทุนนิยมที่มักจะมีสินค้าและบริการหลายอย่างที่มีคุณค่า แต่ไม่ค่อยมีมูลค่า เช่น การอ่านหนังสือให้ลูกหรือเด็กฟัง หรือการชวนเด็กๆ เล่นไม่มีมูลค่า แต่การส่งลูกไปเรียนพิเศษจะมีมูลค่า

“จริงๆ แล้วเราควรต้องเร่งเสริมคุณค่าให้เท่าทันกับมูลค่าด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแทนที่รัฐบาลจะออกกฎหมายมาครอบงำภาคประชาสังคม รัฐบาลควรเร่งวางแผนพัฒนาสาขาองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ให้สามารถรังสรรค์คุณค่าเดิมและคุณค่าใหม่ เพื่อมาแก้ไขและรับมือกับความคุกคามและโอกาสใหม่ๆ ในสังคม ที่สาขาการผลิตอื่นไม่อาจทำได้ หรือแม้กระทั่งสร้างปัญหาไว้ให้ภาคสังคมจะเหมาะสมกว่า” นายเดชรัต กล่าว

ที่มา  : https://www.thecoverage.info/news/content/1769?fbclid=IwAR3ubVByNE0Vp5zBx2CgaUSrxpbHoBYAMGONhMVao6M1k70bkPD80BZrngw

ปรึกษาปัญหาผู้บริโภค