คนจนชนะคดีฟ้อง หมอ-รพ. ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยโควิด เสียชีวิตคาบ้าน

ทนายเชาว์ มีขวด เผย “คนจนบัตรทอง”ชนะคดีฟ้องหมอ-โรงพยาบาล ปฏิเสธตรวจรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จนแม่ต้องเสียชีวิตคาบ้าน ถือคดีแรกที่มีการฟ้องจากโรคโควิด-19 ต้องการให้เป็นคดีตัวอย่าง แพทย์ โรงพยาบาล ต้องมีจรรยาบรรณ ฝ่ายบริหารต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของประชาชน เพราะเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข

คนจนบัตรทองชนะคดี รพ.ปฏิเสธตรวจรักษาผู้ป่วยโควิดจนเสียชีวิต คดีตัวอย่างดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจากทนายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเดินทางไปฟังคำพิพากษาพร้อมกับครอบครัวของฝ่ายโจทก์ ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก วานนี้ (4 ก.ย.66) ซึ่งคดีนี้ ครอบครัว “สาพันธ์” ชุมชนร่วมใจพิบูล 2 ยื่นฟ้องแพทย์และโรงพยาบาล ที่ปฏิเสธไม่ให้บริการตรวจรักษานางประไพ ผู้ป่วยโควิด-19 ตามมาตรฐานที่ควรกระทำ จนเสียชีวิต รวมทั้งฟ้องสำนักงานหลักประกันสุขภาพภาพแห่งชาติ (สปสช.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บริหารผิดพลาด ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเพราะเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข เนื่องจากขาดความพร้อมทั้งเตียงและบุคลากรทางการแพทย์

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.64  นางประไพ มีอาการไอ เหนื่อยหอบ ปวดศีรษะ ท้องเสีย ครบอาการที่บ่งชี้ว่าติดโควิด-19 จึงไปขอตรวจที่โรงพยาบาลตามที่มีสิทธิบัตรทอง โดยแจ้งอาการให้หมอทราบว่าเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง เพราะสัมผัสใกล้ชิดกับมารดาที่ติดเชื้อโควิด-19 ขอให้ช่วยตรวจหาเชื้อ แต่ได้รับแจ้งจากพยาบาลว่านางประไพเคยใช้สิทธิบัตรทอง ตรวจหาเชื้อโควิดมา 1 ครั้ง จึงยังไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้อีก แต่ก็ได้ส่งไปพบแพทย์เวร แต่ได้รับการตรวจแบบหยาบๆ โดยไม่มีการตรวจหาเชื้อตามความประสงค์ของคนไข้ ทั้งที่อาการเข้าข้อสันนิษฐานครบ แล้วจ่ายยาลดไข้พาราเซตามอล ก่อนให้คนไข้กลับบ้าน

ทนายเชาว์ แต่คนไข้ก็อาการไม่ดีขึ้น  ยังมีอาการ ไอ เหนื่อยหอบ ท้องเสีย ปวดศีรษะ รุนแรงขึ้น วันรุ่งขึ้น (25 มิ.ย.64) จึงตัดสินใจกลับไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง ในสภาพอิดโรย ต้องนั่งรถเข็น พร้อมกับร้องขอต่อแพทย์คนเดิมให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 แต่ก็ยังได้รับการปฏิเสธ อ้างว่า น้ำยาตรวจหาเชื้อหมด แล้วสั่งให้พยาบาลเจาะเลือดและให้น้ำเกลือในสภาพที่คนไข้นั่งอยู่ในรถเข็นข้างทางเท้าบริเวณอาคารโรงพยาบาลอย่างน่าเวทนา ไม่ได้ให้เข้าไปยังห้องพักหรือรับตัวไว้ (admit) เพื่อเข้ารักษาอย่างถูกวิธี  เมื่อให้น้ำเกลือจนหมดขวด ได้จ่ายยาแบบเดิม แล้วก็ให้กลับบ้าน ในสภาพที่นางประไพไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ญาติต้องคอยพยุงอุ้มขึ้นรถ ไปนอนรอความตายที่บ้านตามยถากรรม

ต่อมาวันที่ 28 มิ.ย.64 มีหน่วยบริการเคลื่อนที่โรงพยาบาล เกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ มาบริการตรวจเชื้อโควิดฟรี ให้กับคนในชุมชน  ลูกๆจึงนำนางประไพไปตรวจ พบว่าติดเชื้อโควิด ซึ่งคาดว่าน่าจะติดจากคุณยายมาหลายวันแล้ว ลูกๆ จึงเร่งประสานหาเตียง เพื่อส่งตัวนางประไพไปรักษา แต่ยังหาเตียงไม่ได้ วันที่ 30 มิ.ย.64 นางประไพอาการทรุดหนัก อ่อนเพลียหายใจติดขัด มีภาวะช็อกเกร็ง ในที่สุดนางประไพได้เสียชีวิตที่บ้านพักต่อหน้าลูกๆ

ทนายเชาว์ เปิดเผยด้วยว่า หลังจากต่อสู้คดีกันมานับปี ในที่สุดก็ได้รับความยุติธรรมจากศาล ศาลแพ่งพิพากษาให้ครอบครัวสาพันธ์ชนะคดี แม้จะได้ค่าเสียหายไม่เต็มตามฟ้อง แต่คำพิพากษาระบุพฤติการณ์ของแพทย์ผู้ตรวจรักษาชัดว่า “การที่ผู้ตายมีอาการหอบเหนื่อยไอและมาหาจำเลยที่ 1 เพื่อรักษาถึง 2 ครั้ง แต่จำเลยที่ 1 กลับใช้ดุลพินิจในการตรวจวินิจฉัยโรคโดยไม่ส่งผู้ตายไปตรวจหาเชื้อโควิด จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ตาย”  ซึ่งคาดว่าจะมีอุทธรณ์ฎีกากันต่อเพราะคดียังไม่ถึงที่สุด

“เป็นอีกหนึ่งคดีที่ภูมิใจ ซึ่งน่าจะถือเป็นคดีแรกที่มีการฟ้องจากกรณีโรคโควิด-19 ต้องการให้เป็นคดีตัวอย่าง แพทย์ โรงพยาบาล ต้องมีจรรยาบรรณ ฝ่ายบริหารต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของประชาชน เพราะเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข ที่สำคัญ คือได้ช่วยคนจนไม่มีเงินจ้างทนายให้ได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม  คดีนี้นอกจากว่าความให้ฟรีแล้ว ผมยังช่วยออกค่าเดินทางให้พยานหมายตามที่ขอให้ศาลเรียกมาเป็นพยานที่ศาลด้วย” ทนายเชาว์ ระบุ

ปรึกษาปัญหาผู้บริโภค