เปิดความจำเป็นการบันทึก “เวชระเบียนผู้ป่วยใน” ป้องกันข้อมูลเท็จช่วยระบบสาธารณสุข

“นิมิตร์” แชร์ข้อมูลอ้างอิงจากนพ.กวี วีระเศรษฐกุล อดีตผอ.สปสชเขต 8 เผยความจำเป็นของการบันทึก “เวชระเบียนผู้ป่วยใน” ไม่ใช่แค่ต้องการข้อมูล แต่ยังป้องกันการทุจริต เพราะการส่งข้อมูลเท็จหรือเบิกเกินจาก สปสช. ไม่ใช่แค่การโกงเงิน แต่เป็นการทำลายทั้งระบบสาธารณสุข 

วันที่ 22 ก.ค. นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) สัดส่วน ผู้แทนองค์กรเอกชน (ผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ป่วยเรื้อรังอื่น) โพสต์เฟซบุ๊ก Nimit Tienudom  ถึงประเด็นที่กำลังถูกจับตามองในแวดวงสาธารณสุข คือ การปรับเกณฑ์สุ่มตรวจเวชระเบียนผู้ป่วยใน ที่มีชมรมรพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป เครือข่ายยูฮอสเน็ต และสมาชิกสภาวุฒิสภาออกมาคัดค้าน

โดยนายนิมิตร์ โพสต์ข้อความว่า  ความสำคัญของการบันทึกเวชระเบียนที่สำคัญ กรณีผู้ป่วยในของโรงพยาบาล  โดยได้อ้างอิงข้อมูลจากนพ.กวี วีระเศรษฐกุล อดีตผอ.สปสชเขต 8  และอธิบายผ่านเฟซบุ๊กของตน เพื่อให้เข้าใจ สาเหตุที่หน่วยบริการภาครัฐบันทึกเวชระเบียนผู้ป่วยในคลาดเคลื่อน เป็นเหตุให้ต้องคืนเงินเข้าระบบหลักประกันนั้น สำคัญอย่างไร

นายนิมิตร์ เล่าว่า เริ่มจากเหตุผลที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ขอให้ หน่วยบริการส่งข้อมูลผู้ป่วยใน (IP – Inpatient) ให้ครบถ้วน มีหลายประการที่สำคัญ ทั้งในเชิง บริหารงบประมาณ การเบิกจ่าย การวิเคราะห์คุณภาพบริการ และความโปร่งใสในระบบหลักประกันสุขภาพ ดังนี้:

1. เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ถูกต้องและเป็นธรรม

• กองทุนผู้ป่วยใน (IP) ใช้ ข้อมูลการรักษาที่ส่งจากหน่วยบริการ เป็นพื้นฐานในการ คำนวณค่าใช้จ่ายชดเชยแบบ DRG (Diagnosis Related Group)

• หากหน่วยบริการส่งข้อมูลไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง จะทำให้

• สปสช. ไม่สามารถจ่ายเงินให้ได้ตามจริง

• หน่วยบริการอาจ ได้รับงบล่าช้าหรือไม่ครบ ซึ่งกระทบต่อการเงินของโรงพยาบาลเอง

2. เพื่อให้สามารถวิเคราะห์คุณภาพบริการและประสิทธิภาพระบบได้

• ข้อมูลการรักษาผู้ป่วยในช่วยให้ สปสช. ประเมินประสิทธิภาพการให้บริการ เช่น อัตราการเสียชีวิต, ระยะเวลานอนโรงพยาบาล, การกลับมารักษาซ้ำ

• หากข้อมูลไม่ครบ จะทำให้วิเคราะห์คุณภาพบริการไม่ได้ ส่งผลต่อ การพัฒนาระบบสุขภาพในระยะยาว

3. เพื่อใช้ในการวางแผนงบประมาณในอนาคต

• ข้อมูลการให้บริการของปีปัจจุบันเป็นฐานสำคัญในการ วางงบประมาณปีถัดไป

• หากข้อมูลไม่ครบหรือคลาดเคลื่อน อาจทำให้

• งบประมาณไม่พอสำหรับปีหน้า

• หน่วยบริการบางแห่งได้รับงบไม่สมเหตุสมผล

4. เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และป้องกันการทุจริต

• สปสช. ต้องมี ข้อมูลที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อรองรับการตรวจสอบจาก

• สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

• หน่วยงานกำกับอื่นๆ

• ข้อมูลที่ไม่ครบหรือไม่ถูกต้องอาจถูกตีความว่า มีความเสี่ยงในการทุจริต หรือการเบิกเกินจริง

5. เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิ์อย่างครบถ้วน

• หากไม่มีการส่งข้อมูลหรือส่งไม่ครบ ประชาชนที่เข้ารับบริการอาจ ไม่ได้รับการนับสิทธิหรือไม่ได้รับการชดเชยสิทธิประโยชน์ต่างๆ

• โดยเฉพาะในกรณีที่มี สิทธิประโยชน์เฉพาะกลุ่มโรค เช่น โรคเรื้อรัง หรือผู้ป่วยค่าใช้จ่ายสูง (high cost)

 

 

สรุป: คือ  “ข้อมูลผู้ป่วยในที่ครบถ้วน” คือพื้นฐานของระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อให้การจัดการกองทุนโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์ อย่างทั่วถึง

การเขียนข้อมูลเวชระเบียน (Medical Record) มีความสำคัญมากกว่าการใช้เพื่อส่งเบิกเงินกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยมีบทบาทสำคัญในหลายด้านของระบบบริการสุขภาพ ดังนี้:

ความสำคัญของข้อมูลเวชระเบียน (นอกจากใช้ส่งเบิก สปสช.)

1. ดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

• เวชระเบียนเป็นเอกสารหลักในการบันทึกข้อมูลการตรวจ รักษา และผลการตรวจต่างๆ

• ใช้เป็น ฐานข้อมูลเพื่อวางแผนการรักษาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ

• หากไม่มีข้อมูลนี้ บุคลากรทางการแพทย์อาจไม่สามารถให้การรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยได้

 

2. เป็นหลักฐานทางกฎหมายและจริยธรรม

• เวชระเบียนสามารถใช้เป็น หลักฐานในกรณีที่เกิดข้อโต้แย้งทางการแพทย์หรือคดีความ

• ใช้ยืนยันว่ามีการวินิจฉัย รักษา และให้ข้อมูลผู้ป่วยอย่างเหมาะสมตามหลักวิชาชีพ

• จึงต้องมีการเขียน อย่างครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน และลงนามรับรอง

 

3. ใช้ในการควบคุมคุณภาพและพัฒนาบริการ

• โรงพยาบาลใช้เวชระเบียนในการ ประเมินผลการรักษา วิเคราะห์ความเสี่ยง และปรับปรุงแนวทางการรักษา

• เช่น การทบทวนเวชระเบียนผู้เสียชีวิต หรือผู้ที่กลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำ

• นำไปสู่การพัฒนาแนวปฏิบัติทางคลินิก (clinical guideline) และลดความผิดพลาดทางการแพทย์

 

4. สนับสนุนการเรียนการสอนและวิจัย

• เวชระเบียนเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับ การเรียนการสอนแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ และวิชาชีพอื่น

• ใช้เป็นข้อมูลรองรับในการทำวิจัยทางคลินิก เพื่อพัฒนาความรู้ใหม่

5. ช่วยในการบริหารจัดการโรงพยาบาล

• ใช้ข้อมูลเพื่อวางแผนกำลังคน เวชภัณฑ์ และทรัพยากร

• เช่น ข้อมูลจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อในแต่ละปี → วางแผนวัคซีน/ยา

• หรือดูแนวโน้มผู้ป่วย stroke → วางระบบ fast track ได้แม่นยำ

 

6. ปกป้องสิทธิของผู้ป่วยและบุคลากร

• เวชระเบียนเป็นหลักฐานว่าผู้ป่วยได้รับข้อมูลครบถ้วน ได้ยินยอมก่อนทำหัตถการ

• และเป็นหลักฐานว่าบุคลากรได้ให้การดูแลตามมาตรฐาน

สรุปสั้น:

เวชระเบียน ไม่ใช่แค่เอกสารเบิกเงิน แต่คือ หัวใจของระบบสุขภาพ ที่ใช้เพื่อการรักษา พัฒนา ป้องกันข้อพิพาท และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ การที่หน่วยบริการส่งข้อมูลเป็นเท็จ หรือเบิกเกินจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่เพียงเป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่ยังส่งผลเสียร้ายแรงต่อระบบหลักประกันสุขภาพทั้งระบบ ดังนี้:

ผลเสียของการส่งข้อมูลเท็จ หรือเบิกเกินจริง

1. บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของระบบหลักประกันสุขภาพ

• ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอาศัย ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน

• หากมีกรณีหน่วยบริการเบิกเกิน หรือส่งข้อมูลเท็จบ่อยครั้ง จะทำให้ สังคมเกิดความไม่ไว้วางใจ ต่อระบบ

• ส่งผลให้ รัฐสภา หน่วยตรวจสอบ และประชาชน เรียกร้องให้จำกัดงบประมาณหรือเปลี่ยนแปลงระบบ

2. ทำให้งบประมาณผิดเพี้ยนและไม่เพียงพอต่อความจำเป็นที่แท้จริง

• การเบิกเกินคือการใช้ทรัพยากรที่ควรไปช่วยผู้ป่วยที่จำเป็นจริงอย่างไม่เป็นธรรม

• งบประมาณของกองทุนมีจำกัด เมื่อมีการเบิกเกิน

→ โรงพยาบาลที่ปฏิบัติตามกฎอย่างสุจริตอาจ ได้รับเงินไม่พอ

→ ผู้ป่วยที่จำเป็นจริงอาจ ไม่ได้รับบริการอย่างที่ควร

3. บิดเบือนข้อมูลเชิงนโยบาย

• ข้อมูลที่ส่งให้ สปสช. ถูกใช้เพื่อวางแผนนโยบายสาธารณสุขระดับประเทศ

• หากหน่วยบริการรายงานโรคที่ไม่เป็นจริงหรือเกินจริง

→ ทำให้รัฐ จัดสรรงบผิดพลาด

→ ระบบอาจให้ความสำคัญกับโรคที่ไม่ใช่ปัญหาหลักในพื้นที่นั้นจริง ๆ

 

4. เกิดภาระในการตรวจสอบและฟ้องร้อง

• สปสช. ต้องเสียทรัพยากรในการ สอบสวน, ตรวจสอบ, และฟ้องร้องหน่วยบริการที่กระทำผิด

• บางกรณีอาจต้องระงับการเบิกจ่าย หรือ เรียกคืนเงินจำนวนมาก

• ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่นั้น เข้าไม่ถึงการรักษาในช่วงที่หน่วยบริการถูกระงับสิทธิ

 

5. ผลกระทบต่อชื่อเสียงและจริยธรรมของวิชาชีพ

• การกระทำดังกล่าวผิดหลักจริยธรรมวิชาชีพอย่างรุนแรง

• ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของบุคลากรทั้งหน่วยงาน แม้ผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ ถูกมองว่าไร้จรรยาบรรณ

• มีผลต่อความสัมพันธ์กับชุมชน และศรัทธาของผู้ป่วย

6. มีโทษทางกฎหมาย

• การส่งข้อมูลเท็จหรือเบิกเกินเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย เช่น:

• พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

• กฎหมายอาญา มาตราเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร หรือฉ้อโกง

• มีโทษทั้งทางแพ่ง อาญา และอาจ ถูกตัดสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการกับรัฐในอนาคต

 

สรุปสั้น:

การส่งข้อมูลเท็จหรือเบิกเกินจาก สปสช. ไม่ใช่แค่การโกงเงิน แต่เป็นการทำลายทั้งระบบสาธารณสุข กระทบผู้ป่วย คนทำงาน และสังคมโดยรวม ทั้งในแง่งบประมาณ จริยธรรม และความไว้วางใจ

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ หน่วยบริการส่งข้อมูลเป็นเท็จหรือเบิกเกินจริง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ควรมีมาตรการตอบสนองอย่างรอบด้าน เพื่อ ป้องกัน แก้ไข และรักษาความเชื่อมั่นในระบบหลักประกันสุขภาพ โดยสามารถแบ่งแนวทางการดำเนินการออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ การป้องกัน, การตรวจสอบและลงโทษ, และการฟื้นฟูระบบ ดังนี้:

 

1. ป้องกัน (Prevention): สร้างระบบให้โปร่งใสตั้งแต่ต้นทาง

พัฒนาระบบส่งข้อมูลให้ตรวจสอบได้ง่าย

• ใช้ ระบบ IT ที่ตรวจสอบอัตโนมัติ เช่น ตรวจหาข้อมูลซ้ำ ข้อมูลไม่สอดคล้อง (เช่น เบิกโรคที่ไม่ตรงกับอายุ หรือวันนอนโรงพยาบาลเกินจริง)

สื่อสารแนวปฏิบัติให้ชัดเจน

• จัดอบรมต่อเนื่องเกี่ยวกับ แนวทางการกรอกข้อมูล/การเบิกจ่ายที่ถูกต้อง ให้แก่หน่วยบริการ

• เผยแพร่นโยบายชัดเจนเกี่ยวกับ บทลงโทษหากพบการทุจริต

ส่งเสริมธรรมาภิบาลในหน่วยบริการ

• สนับสนุนให้หน่วยบริการมี คณะกรรมการตรวจสอบภายใน

• ส่งเสริมการมี ส่วนร่วมของภาคประชาชนในการตรวจสอบ (เช่น สปสช. เขต เชิญภาคประชาชนเข้าร่วมประชุม)

 

2. ตรวจสอบและลงโทษ (Detection & Enforcement): ดำเนินการอย่างจริงจังเมื่อพบการกระทำผิด

ตรวจสอบเชิงรุก (Random Audit)

• สปสช. ควรมีการ สุ่มตรวจข้อมูลผู้ป่วย (เช่น แฟ้มเวชระเบียน) เพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่หน่วยบริการส่งมา

• ใช้ ข้อมูล Big Data วิเคราะห์ความผิดปกติของพฤติกรรมการเบิกจ่าย

ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

• หากพบเบาะแสว่าอาจมีการเบิกเกินหรือส่งข้อมูลเท็จ

→ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยเร็ว และเชิญฝ่ายที่เกี่ยวข้องชี้แจง

→ ตรวจสอบย้อนหลังได้หลายปี หากพบการกระทำผิดต่อเนื่อง

ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบ

• กรณีพบความผิดจริง อาจมีมาตรการ เช่น:

• ระงับการเบิกเงินชั่วคราว / เรียกเงินคืน

• ตัดสิทธิ์การเข้าร่วมระบบชั่วคราวหรือถาวร

• แจ้งความดำเนินคดีอาญา ตามกฎหมายอาญา มาตราเกี่ยวกับการปลอมแปลงหรือฉ้อโกงหน่วยงานรัฐ

3. ฟื้นฟูและป้องกันซ้ำ (Recovery & System Strengthening) ประเมินช่องโหว่ของระบบที่เอื้อให้เกิดการทุจริต

• ทบทวนว่า การทุจริตเกิดจากช่องโหว่ด้านใด เช่น

• ขาดการตรวจสอบซ้ำ

• ระบบส่งข้อมูลอิงจากการกรอกเองโดยไม่มีหลักฐานแนบ

• ขาดแรงจูงใจให้ซื่อสัตย์

ปรับปรุงระบบให้มีแรงจูงใจในการปฏิบัติอย่างถูกต้อง

• เช่น ให้ คะแนนคุณภาพการเบิกจ่าย เพื่อให้หน่วยบริการที่ซื่อสัตย์ได้รับ สิทธิประโยชน์หรือการสนับสนุนเพิ่มเติม

สื่อสารกับประชาชนเพื่อรักษาความเชื่อมั่น

• ออกแถลงการณ์หรือรายงานความคืบหน้า

• ย้ำว่า สปสช. มีระบบตรวจสอบและเอาผิดจริง → สร้างความไว้วางใจว่าระบบนี้ปกป้องสิทธิประชาชนBottom of Form

ปรึกษาปัญหาผู้บริโภค