ในวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต่อศาลปกครองกลางกรณี กสทช.ออกประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลย่าน 850 MHz 1500 MHz 2100 MHz และ 2300 MHz จำนวน 2 ฉบับ ที่จะนำไปใช้ในธุรกิจด้านโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ตบ้าน โดยจะมีการประมูลในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งสภาผู้บริโภคพบว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่ขาดความเป็นธรรม ผลักกิจการโทรคมนาคมเข้าสู่การผูกขาดมากขึ้น ไม่เอื้อประโยชน์สาธารณะ ทำให้รัฐเสียรายได้ และผู้บริโภคเสียเปรียบ
สภาผู้บริโภคขอชี้แจง 6 เหตุผล ในการฟ้อง กสทช. ในการออกหลักเกณฑ์ดังกล่าว ดังนี้
เอื้อการผูกขาด ผู้บริโภคเสียเปรียบ
เป็นที่ประจักษ์ว่าหลักเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนดสำหรับการประมูลที่กำลังจะมาถึงเอื้อต่อการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคมให้สูงขึ้น เพราะโดยสภาพการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมมีการแข่งขันน้อยลงจนเข้าข่ายการผูกขาด เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 2 บริษัท คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จากัด หรือ “ทรู” และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จากัด (มหาชน) หรือ “เอไอเอส” เท่านั้น จึงเห็นได้ชัดว่าเมื่อ กสทช. ไม่มีหลักเกณฑ์ในการส่งเสริมบริษัทที่สามเข้ามาแข่งขันในการประมูลครั้งนี้ ก็เท่ากับส่งเสริมการผูกขาดให้สูงยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ได้แสดงเจตนารมณ์ไม่เข้าร่วมประมูล ทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบเนื่องจากจะไม่เกิดความหลากหลายของการให้บริการกับผู้บริโภค ทั้งแพคเก็จ ทั้งราคา มีความใกล้เคียงจนแทบไม่เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง รวมถึงในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดผู้มีอำนาจเหนือตลาดทั้งที่มีการควบรวมกิจการจนอาจทำให้ผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ในตลาดอาจเข้าเกณฑ์ตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญในตลาดที่เกี่ยวข้องในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน พ.ศ. 2557
หากผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดแล้ว จะต้องถูกกำกับราคาที่ให้บริการตามข้อ 5 ของประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ. 2555 คือสามารถเก็บค่าบริการในอัตราได้ไม่เกิน 99 สตางค์ ต่อนาที สำหรับค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
ตั้งราคาประมูลขั้นต่ำน้อยเกินไป รัฐอาจเสียผลประโยชน์กว่าแสนล้านบาท
กสทช.กำหนดราคาประมูลขั้นต่ำในคลื่น 2100 MHz และ 2300 MHz ไว้ต่ำกว่าราคาตลาดที่เป็นจริง โดยกำหนดราคาขั้นต่ำของคลื่น 2100 MHz ไว้เพียง 4,500 ล้านบาทต่อ 2X5 MHz ต่อ 15 ปี หากคลื่นดังกล่าวถูกประมูลหมดทุกชุด (จำนวน 2X15 MHz) จะนำเงินเข้ารัฐเป็นรายได้แผ่นดินได้เพียง 13,500 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่คลื่นความถี่เดียวกัน ช่วงคลื่นเดียวกัน เมื่อบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ปล่อยเช่าได้ปีละ 3,900 ล้านบาท ต่อ 2X15 MHz ซึ่งหากปล่อยเช่าครบ 15 ปี จะได้รายได้เข้ารัฐสูงถึง 58,500 ล้านบาท
ในส่วนคลื่น 2300 MHz กำหนดราคาขั้นต่ำไว้เพียง 2,596.15 ล้านบาทต่อ 10 MHz ต่อ 15 ปี หากคลื่น 2300 MHz หากถูกประมูลหมดทุกชุด คลื่นนี้ได้จำนวน 60 MHz จะนำเงินเข้ารัฐเป็นรายได้แผ่นดินได้เพียง 15,576 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่คลื่นนี้ บริษัท เอ็นที ปล่อยเช่าปีละ 4,510 ล้านบาทต่อ 60 MHz ซึ่งหากปล่อยเช่าครบ 15 ปี จะได้เงินถึง 67,650 ล้านบาท
เปิดโอกาสให้มีการ “ฮั้ว” ประมูล
การประมูลครั้งนี้ได้กำหนดให้ใช้วิธีประมูลทุกคลื่นในคราวเดียวกันโดยไม่แบ่งแยกตามคลื่นความถี่อย่างที่ผ่านมา ประกอบกับสภาพการแข่งขันของตลาดที่เหลือเพียงเจ้าใหญ่สองราย คือ ค่ายทรู และค่ายเอไอเอส แต่ กสทช.กลับไม่กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ทำให้เกิดการดันราคาการประมูลให้สูงขึ้น กลับสร้างกลไกให้มีโอกาสเกิดการสมยอมหรือตกลงกันนอกรอบระหว่าง กลุ่มทรู และ กลุ่มเอไอเอส หากการประมูลมีการฮั้วระหว่างสองค่ายให้อยู่ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าจริงในตลาด จะทำให้ผู้ชนะประมูลสามารถสร้างกำไรหลายเท่าตัว ในขณะที่รัฐสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล ในเวลาที่ประเทศเผชิญสภาวะวิกฤติของเศรษฐกิจตกต่ำ และต้องการทรัพยากรจำนวนมากเพื่อทำนุบำรุงประเทศ
กระทบการเข้าถึงคลื่นความถี่ของกลุ่มเปราะบาง ด้อยโอกาส
คลื่นที่นำมาประมูลนี้ เป็นคลื่นที่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ เอ็นที (NT) หมดสัญญา แต่บางส่วนของคลื่นเหล่านี้เป็นการใช้เพื่อบริการสาธารณะ เพื่อการเข้าถึงของกลุ่มเปราะบาง คนด้อยโอกาส หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้มีโอกาสใช้ในราคาถูก การนำคลื่นของเอ็นทีเข้าประมูล โดยไม่มีการเว้นไว้สำหรับการใช้งานในภารกิจของรัฐหรือการให้บริการสาธารณะ อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางสื่อสารในภาวะวิกฤติต่อกลุ่มเปราะบางที่ยังพึ่งพาโครงข่ายของ เอ็นที อยู่ ซึ่งหากไม่มีแนวทางรองรับที่เหมาะสม อาจกระทบต่อความมั่นคงของระบบสื่อสาร โดยเฉพาะภารกิจด้านบริการสาธารณะ
ไม่มีข้อกำหนดในการคุ้มครองผู้บริโภคที่เพียงพอ
หลักเกณฑ์ที่ กสทช. ประกาศทั้งสองฉบับ ไม่มีข้อกำหนดในการคุ้มครองผู้บริโภคที่เพียงพอ อย่างเช่น สิทธิที่จะได้รับบริการ จากการแข่งขันเสรี เป็นธรรม ป้องกันการผูกขาด ตัดตอน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาและค่าบริการ ไม่มีการกำหนดคุณภาพการให้บริการ เช่นการกำหนด ความเร็วขั้นต่ำที่จะให้บริการในแพ็คเกจราคาถูกสำหรับกลุ่มเปราะบาง ไม่ได้กำหนดเพดานราคาค่าบริการสูงสุดเทียบกับปริมาณและคุณภาพการให้บริการที่จะเรียกเก็บและให้บริการกับผู้บริโภคและการให้บริการค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน หรือ MVMO (Mobile Virtual Network Operator) ให้อยู่ในเงื่อนไขการประมูลนี้ จึงไม่มีหลักประกันชัดเจนว่าประชาชนในฐานะผู้บริโภคที่ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุด
ไม่ส่งเสริมโอกาสให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขัน
กสทช. ไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขหรือวิธีการประมูลที่ส่งเสริมให้เกิดผู้เข้าแข่งขันรายใหม่เพื่อเพิ่มการแข่งขันของตลาด ในขณะที่กิจการนี้มีลักษณะผูกขาดเพราะคู่แข่งเพียงสองรายทำให้ผู้บริโภคขาดทางเลือก ถูกบีบด้วยราคาและบริการที่จำกัด
การฟ้องร้องครั้งนี้ สภาผู้บริโภคต้องการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับหลักเกณฑ์การประมูลให้เอื้อต่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาด และมีกลไกควบคุมคุณภาพบริการหลังการประมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ราคาที่เหมาะสม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยสภาผู้บริโภคเสนอให้ศาลปกครองพิพากษา
เพิกถอนประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลย่าน 850 MHz 1500 MHz 2100 MHz และ 2300 MHz เฉพาะในส่วนของ 2100 MHz และ 2300 MHz และ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกิจกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง การขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคม ย่าน 850 MHz 1500 MHz 2100 MHz และ 2300 MHz ลงวันที่ 29 เมษายน 2568 เฉพาะในส่วนของ 2100 MHz และ 2300 MHz
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคเสนอให้ กสทช. กำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ดังนี้
- ให้กำหนดราคาประมูลเริ่มต้นไม่น้อยกว่ารายได้ที่บริษัท เอ็นที เคยได้รับจากสัญญาที่ทำร่วมกับเอกชน
- ให้กำหนดเพดานราคาค่าบริการสูงสุดโดยพิจารณาจากปริมาณและคุณภาพของการให้บริการ รวมทั้งเงื่อนไขการให้บริการของผู้ให้บริการโครงข่ายเสมือน หรือ MVNO ให้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการแข่งขันประมูล
- ให้มีเงื่อนไขที่ชัดเจนในการอนุญาตให้บริษัท เอ็นที, ผู้ให้บริการ MVNO หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง สามารถร่วมใช้ประโยชน์ในคลื่นความถี่ที่ได้รับอนุญาตไปแล้ว ในอัตราค่าบริการที่เป็นธรรม พร้อมกำหนดระยะเวลาดำเนินการที่แน่นอน และบทลงโทษในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไข
- ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดประชุมหารือร่วมกับผู้แทนผู้บริโภค กสทช. บริษัท เอ็นที ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และผู้ให้บริการ MVNO เพื่อจัดทำแผนรองรับผลกระทบต่อผู้บริโภคจากกรณีการหมดสัญญาของบริษัทฯ
และขอใหh กสทช. ทำหน้าที่กำหนดผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสําคัญ ตามประกาศของ กสทช.เอง เรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสําคัญในตลาดที่เกี่ยวข้องในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน พ.ศ. 2557