20 ตุลาคม ที่ผ่านมา เครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา พร้อมด้วยเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน เครือข่ายความมั่นคงทางอาหารชุมชนเมือง และ FTA watch ได้ยื่นจดหมายถึง ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ที่กำลังผลักดันอย่างหนักเพื่อให้ไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติเห็นชอบในสัปดาห์หน้านั้น
.
คำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา กล่าวว่า รองนายกฯ ไม่สนใจข้อท้วงติงของหน่วยราชการ ภาควิชาการ สภาองค์กรของผู้บริโภค และภาคประชาสังคมอื่น รวมถึงข้อเสนอแนะหลักของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่ว่า การเจรจาเข้าร่วม CPTPP ของรัฐบาลควรมีกรอบเจรจาที่เกิดจากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหว ซึ่งหากเจรจาไม่ได้ตามที่ระบุไว้ก็ไม่ควรเข้าร่วม นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดประเด็นที่สีแดงเป็นสีเหลือง สีเหลืองเป็นสีเขียว โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบอย่างแท้จริง
.
คำรณ กล่าวอีกว่า ช่วงก่อนการลงนาม JTEPA* กระทรวงการต่างประเทศเคยปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าของเสียอันตราย แต่เมื่อภาคประชาสังคมตรวจสอบและพบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ จึงมีการยอมรับถึงข้อผิดพลาดในการเจรจาความตกลง JTEPA เนื่องจากความตกลงที่ญี่ปุ่นทำกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กันนั้นไม่มีเนื้อหาที่ยอมรับขยะเป็นสินค้าเช่นไทย
.
และยังพบว่า ขณะนั้นมีการแต่งตั้งคณะบุคคลจากหน่วยงานราชการไทยในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้แทนจากหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่กลับให้ความสำคัญกับผู้นำจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมากกว่า ดังนั้น ในการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศที่ผ่านมาจึงไม่มีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งการลงนาม JPETA ควรเป็นบทเรียนสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศเพื่อไม่ให้เดินผิดพลาดเช่นที่ผ่านมาอีก
.
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะต้องปรับเปลี่ยนทั้งทัศนคติและพฤติกรรมการทำงาน โดยตระหนักถึงผลเสียของการเจรจาที่จะเกิดตามมาต่อประชาชนคนไทยให้มาก และพึงมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลต่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนไทยให้มากกว่าที่ผ่านมา รวมทั้งหยุดการผลักดันให้ไทยไปเข้า CPTPP ทันที เนื่องจากสถานการณ์ของความตกลงดังกล่าวมีบริบทที่เปลี่ยนไป ซึ่งรัฐบาลต้องศึกษาใหม่ให้รอบคอบและไม่ควรเร่งรัดดำเนินการด้วยข้อมูลเก่า
.
อย่างไรก็ตาม ภาคประชาชนมีความกังวลในประเด็นนโยบายด้านสาธารณะสุขและสุขภาพที่จะได้รับผลกระทบจาก CPTPP โดยเฉพาะการเปิดตลาดเครื่องมือแพทย์มือสอง / ระบบสิทธิบัตรและระบบขึ้นทะเบียนยา / ผลกระทบต่อการออกมาตรการควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ CPTPP / ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสมุนไพร ความหลากหลายทางชีวภาพ การแบ่งปันผลประโยชน์ผลกระทบจาก การบังคับเข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV1991) / การขอยกเว้นกำหนดเป็นข้อสงวนการใช้กลไกเอกชนฟ้องรัฐในการออกมาตรการด้านสาธารณสุข (ยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ CL)
.
ประเด็นเหล่านี้จะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมไทย ในทำนองเหล้าจะถูก ยาจะแพง พืชเมล็ดพันธ์จะถูกผูกขาด
.
* ในอดีตกระทรวงต่างประเทศเคยสร้างความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการเจรจาความตกลง JTEPA ไทย – ญี่ปุ่น จากของเสียอันตรายที่อยู่ในพิกัดภาษีศุลกากรของ JTEPA เช่น ขี้แร่, ขี้ตะกอน, เศษอื่น ๆ ที่ได้จากการผลิตเหล็กหรือเหล็กกล้า, ตะกอนของน้ำมันเบนซินชนิดเติมสารตะกั่ว, ตะกอนของสารกันเครื่องยนต์เคาะที่มีตะกั่ว, เถ้าและกากที่ได้จากการเผาขยะเทศบาล, ของเสียทางเภสัชกรรม, ของเสียจากสถานพยาบาล, ผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากอุตสาหกรรมเคมีหรือจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน, ขยะเทศบาล, ตะกอนจากน้ำเสียและของเสียอื่น ๆ, ของเสียที่เป็นของเหลวกัดล้างโลหะ, น้ำมันไฮดรอลิก น้ำมันเบรคและของเหลวกันการเยือกแข็ง, ของเสียอื่น ๆ จากอุตสาหกรรมเคมีหรือจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันตั้งแต่ปี 2551 ที่ประเทศไทยลงนามทำความตกลง JTEPA ถือเป็นความตกลงฯ ฉบับแรกที่แสดงอย่างชัดเจนถึงการเปิดเสรีให้มีการเคลื่อนย้ายข้ามแดนสำหรับของเสียอันตรายทุกประเภท ซึ่งมีการนิยามของเสียนั้นหมายรวมถึงของเสียที่รีไซเคิลได้และที่รีไซเคิลไม่ได้ (นำเข้ามาทิ้ง) โดยกำหนดเป็นพิกัดศุลกากรอย่างเป็นทางการซึ่งมีผลให้ต้องเปิดเสรีต่อมาในความตกลงฉบับต่าง ๆ จนประเทศไทยมีสภาพใกล้เคียงกับถังขยะโลก
ที่มา : สภาองค์กรของผู้บริโภค