รพศ.-รพท. 58 แห่ง ขาดสภาพคล่อง โรงพยาบาลอีก 844 แห่ง ไม่มีปัญหา มีเงินหมุนเวียนในระบบ 3.8 หมื่นล.

อดีตรองเลขาฯ สปสช. ย้ำหากให้มีการร่วมจ่ายจะกระทบประชาชน เหตุเมื่อเจ็บป่วยจะไม่ไปรักษาเพราะกลัวเสียเงิน หวั่นรอเป็นโรคหนักแล้วไปหาทีเดียว พร้อมเผยมี รพ. ขาดสภาพคล่อง 58 แห่ง แต่อีก 844 ยังมีเงินหมุนเวียนกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ด้าน “นายกสมาคมเพื่อนโรคไตฯ แนะควรกางตัวเลขเงินใน รพ. ที่มีปัญหา เพื่อให้ทั้งฝ่าย “บอร์ด สปสช. – สธ. – รัฐบาล” ได้ช่วยแก้ให้ตรงจุด พร้อมชี้สิทธิประโยชน์ใดไม่คุ้มค่าก็ควรทบทวน 

กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ จัดเวทีแลกเปลี่ยนและตอบข้อซักถามประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) จากประเด็นที่เกิดกระแสในสังคมเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินงบประมาณในกองทุนบัตรทอง เมื่อเช้าวันที่ 27 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา

รศ. ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข อดีตรองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่เข้าร่วมเวทีนี้ด้วย เปิดเผยตอนหนึ่งว่า จากข้อมูลของกองเศรษฐกิจสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อสิ้นไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พบว่ามีโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไป ประสบปัญหาการเงินการคลังรวม 58 แห่ง เป็นจำนวนประมาณ 2,293 ล้านบาท ขณะที่หน่วยบริการอีก 844 แห่งทั่วประเทศที่มีสภาพคล่อง และยังมีเงินหมุนเวียนในระบบรวมกว่า 38,249 ล้านบาท ซึ่งตามแนวทางของ สธ. และกระทรวงการคลัง ในการบริหารจัดการนั้น ทราบว่า หากโรงพยาบาลใดในพื้นที่ประสบปัญหาการเงินการคลัง หรืองบประมาณติดลบ โรงพยาบาลใกล้เคียงที่มีศักยภาพกว่าก็สามารถช่วยเหลือทางการเงิน หรือรูปแบบอื่นกันได้

“จริงๆ แล้ว กระทรวงการคลังอนุญาตให้โรงพยาบาลสามารถเก็บรายรับบางส่วนไว้ใช้จ่ายได้ก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่า เงินนั้นเป็นของโรงพยาบาลเอง เพราะทุกบาททุกสตางค์คือ เงินภาษีของประชาชนที่ควรถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบโดยรวม และถ้าหากการนำเงินดังกล่าว ไปช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ประสบปัญหาการเงินการคลัง ก็สามารถทำได้ ซึ่งต้องมีการนำข้อมูลต้นทุนและค่าใช้จ่ายของแต่ละโรงพยาบาลมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมที่แท้จริง และหลังจากนั้น จึงค่อยช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างโรงพยาบาล ในสังกัด สธ.” รศ.ดร.ภญ.ยุพดี กล่าว

รศ.ดร.ภญ.ยุพดี กล่าวอีกว่า ประเด็นการร่วมจ่ายในระบบบัตรทองนั้น สปสช. มองว่า แนวทางดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพได้ และอาจขัดต่อเจตนารมณ์ของระบบบัตรทองที่ไม่ต้องการให้ประชาชนต้องมีค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการสุขภาพตามสิทธิ ซึ่งก็เป็นระบบที่ดำเนินการมากว่า 20 ปี

อีกทั้ง หากมีการร่วมจ่าย สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือ จากเดิมที่ประชาชนเจ็บป่วยเล็กน้อยก็สามารถไปพบแพทย์ได้ แต่เมื่อมีการร่วมจ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ป่วยอาจเลือกที่จะไม่ไปโรงพยาบาล เนื่องจาก ไม่อยากเสียเงิน และผลที่ตามมาคือ ประชาชนจะมาพบแพทย์อีกทีเมื่ออาการทรุดหนักขึ้น จากโรคที่อาจรักษาได้ง่ายในระยะต้น กลับต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น ต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์และทีมบุคลากรหลายสาขาเข้ามาดูแล ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่า หากจะมีการร่วมจ่ายจริง ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าผลกระทบต่อประชาชนจะเป็นอย่างไร เพราะระบบบัตรทองในปัจจุบันหัวใจหลักสำคัญคือ ป้องกันไม่ให้ประชาชนล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล

หากเข้ารับการรักษาพยาบาลแล้วหน่วยบริการอ้างว่าต้องร่วมจ่าย เนื่องจาก หน่วยบริการขาดทุนไม่สามารถให้การรักษาได้ ในส่วนของตรงนี้ สปสช. ยืนยันว่าไม่มีการร่วมจ่าย ดังนั้น ประชาชนและผู้รับบริการทุกคนต้องคุ้มครองสิทธิ์ตนเอง หากเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นสามารถแจ้งที่สายด่วน สปสช. 1330 ได้เลยทันที” อดีตรองเลขาธิการ สปสช. กล่าว

นายธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ในฐานะภาคประชาชน กล่าวด้วยว่า ประเด็นปัญหาการเงินการคลังของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รวมถึงคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่ประสบปัญหาขาดทุน ซึ่งพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในขณะนี้นั้น อีกด้าน ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในปัจจุบันยังไม่มีหน่วบริการใด ทั้งของรัฐ และเอกชนที่เข้าร่วมให้บริการบัตรทอง เปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของตัวเลขทางการเงิน หรือหลักฐานใดๆ ที่สะท้อนถึงสถานะการขาดทุนอย่างแท้จริงของหน่วยบริการเหล่านี้ ดังนั้น หน่วยบริการทั้งภาครัฐและเอกชน ควรนำข้อมูลต้นทุนจริง และตัวเลขการขาดทุนมาเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันวิเคราะห์ ให้เข้าใจสาเหตุของการขาดทุน และสามารถกำหนดแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด

อย่างไรก็ตาม หนทางการไขแก้ปัญหาเรื่องภาวการณ์ขาดทุน รวมถึงปัญหาการเงินการคลังของหน่วยบริการ โรงพยาบาลต่างๆ คือ การนำปัญหามาคุยร่วมกัน ระหว่างคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และรัฐบาล เช่น ปัญหาที่โรงพยาบาลขาดทุนจริงๆ แล้วเกิดจากอะไร รวมถึงคลินิกเอกชนที่ขาดทุน จะมาสามารถเพิ่มงบประมาณส่วนไหนได้บ้างถึงจะเพียงพอ หรืองบประมาณที่มอบให้ไปแล้วมันไม่เพียงพอจริงหรือไม่

“ในแต่ละปีงบประมาณด้านค่ารักษาพยาบาลไม่เคยเพียงพอ รวมถึงยังมีเรื่องการขาดทุนของโรงพยาบาลอีก ผมเห็นว่า บอร์ด สปสช. รวมทั้ง สธ. และรัฐบาล ที่ต้องร่วมกันพิจารณาว่า จะต้องเติมงบประมาณเท่าใด และเติมในส่วนใดจึงจะเหมาะสม เพราะที่ผ่านมา แม้จะมีการเติมงบในทุกปีแต่ก็ต้องถามว่า การเติมนั้นเพียงพอและเหมาะสมกับความเป็นจริงของระบบสุขภาพแล้วหรือยัง” นายธนพลธ์ กล่าว

นายธนพลธ์ กล่าวอีกว่า เมื่อพิจารณาถึงเรื่องงบประมาณแล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปคือ หากนโยบายหรือสิทธิประโยชน์ในระบบบางส่วนยังไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร หรืออาจส่งผลกระทบต่อประชาชน ก็อยากให้มีการทบทวนอีกครั้ง เพื่อเริ่มต้นใหม่ วางแผนใหม่ และจัดระบบสุขภาพ รวมถึงระบบสาธารณสุขใหม่ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ปรึกษาปัญหาผู้บริโภค