เกลี่ยงบ-ลดช่องว่าง ‘3 กองทุน’ ปรับอัตราจ่าย ‘บัตรทอง’ ใหม่ มองวิธีแก้ไขในมุมภาค ปชช.

ตลอดเวลากว่า 1 เดือนของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกมาจากทั้งโรงพยาบาล ภาควิชาการ ภาคการเมือง รวมถึงประชาชนทั่วประเทศ ที่สะท้อนถึงปัญหาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ว่ากำลังเผชิญหน้ากับงบประมาณไม่เพียงพอ ทำให้หน่วยบริการหลายแห่งต้องตกที่นั่งลำบาก จากการต้องแบกรับภาระการให้บริการระบบบัตรทองไว้ จนทำให้งบประมาณติดลบจำนวนมาก ในขณะที่การดูแลประชาชนก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่มีหยุดพัก

ความท้าทายครั้งนี้สร้างแรงกดดันสำคัญกลับไปสู่ ‘Purchaser’ คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อย่างมหาศาล ในฐานะผู้ที่บริหารงบประมาณของระบบบัตรทองในมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตอบโจทย์คำถามสำคัญของการที่จะทำให้ระบบเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงได้อย่างไร ท่ามกลางข้อจำกัดที่รัดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ภายใต้สถานการณ์ข้อถกเถียงมากมายในปัจจุบัน “The Coverage” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) สัดส่วนภาคประชาชน และในฐานะภาคประชาชน จากกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ผู้ที่ได้ร่วมติดตามสถานการณ์ปัญหาเหล่านี้มาอย่างยาวนาน เพื่อสอบถามถึงมุมมองความเห็น รวมถึงแนวทางการแก้ไขเพื่อที่จะเป็นทางออกให้กับปัญหาในขณะนี้

นิมิตร์ เทียนอุดม

เหนืออื่นใดเขามองว่าวิกฤตงบประมาณบัตรทองไม่ใช่สัญญาณความล้มเหลว แต่คือสัญญาณเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับมาร่วมมือกัน และมองระบบภายใต้สายตาที่เป็นธรรม ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน และแนวทางแก้ไขควรเริ่มต้นอย่างไร ซึ่งทางออกไม่ใช่เพียงการของบประมาณเพิ่ม แต่ต้องพูดคุยเข้าไปถึงโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ การตรวจสอบเวชระเบียน ไปจนถึงการทำงานร่วมกันระหว่าง สปสช. กับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มากกว่าที่เป็นอยู่

ทั้งหมดอยู่ในบทสนทนาที่จะพาไปสู่ทางออกซึ่ง นิมิตร์ เชื่อว่าจะไม่เพียงแค่ช่วยแก้ปัญหางบไม่พอในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นรากฐานสำคัญของการทำให้ระบบบัตรทองยั่งยืนได้อย่างแท้จริงในระยะยาว

2 สิ่งที่ต้องหาจุดเหมาะสม จำนวน ‘Audit’ กับ ‘ต้นทุน’ บริการ

นิมิตร์ เปิดฉากด้วยประเด็นเรื่อง ‘ค่ารักษาพยาบาล’ ที่ตอนนี้มีหลายฝ่ายมองว่ายังไม่เพียงพอ ซึ่งเขาชี้ให้เห็นว่าในประการแรก จะต้องดูก่อนว่าการเบิกจ่ายนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากการให้บริการของหน่วยบริการหรือโรงพยาบาล ควรเบิกในระดับที่สอดคล้องกัน ไม่มากหรือน้อยเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเวชระเบียน หรือการออดิต (Audit) เข้ามาช่วย เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันดูถึงความถูกต้องของการเบิกจ่าย และเพื่อให้หน่วยบริการหรือโรงพยาบาลได้รับค่าเบิกจ่ายอย่างเป็นธรรม

“ในเรื่องของการตรวจสอบเวชระเบียนนั้น ทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่าการออดิตเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ระบบการเบิกจ่ายและการให้บริการมีความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งผมมองว่าเป็นพัฒนาการที่ดี ที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันว่าการตรวจสอบต้องมี เพียงแต่ต้องหาจุดสมดุลให้ได้ว่าควรตรวจสอบในปริมาณเท่าใด จึงจะสะท้อนภาพรวมของระบบได้จริง โดยไม่กระทบต่อทรัพยากรและประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยบริการมากเกินไป” นิมิตร์ กล่าว

เมื่อถามถึงปริมาณการตรวจสอบฯ หรือการออดิตที่เหมาะสมคือเท่าไร นิมิตร์ ตอบกลับว่าปริมาณดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนที่คณะทำงานจากทุกฝ่ายกำลังร่วมกันพิจารณา เพื่อหาหลักการที่เหมาะสมที่สุด โดยอาจจะออดิตเลย 100% หรือใช้วิธีการทางสถิติในการสุ่มตรวจในสัดส่วนที่เหมาะสม หรือผ่านการสำรวจมาว่าปริมาณเท่าไรที่เหมาะสม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาจากหลายฝ่ายเพื่อร่วมกันตัดสินใจ

ประการถัดมา เขามองถึงเรื่องการคำนวณ ‘ต้นทุน’ ซึ่งส่วนนี้ต้องขอร่วมมือจากหลายฝ่ายมาระดมความคิดกันว่า ต้นทุนที่โรงพยาบาลใช้อ้างอิงอยู่ในปัจจุบันนั้นสะท้อนค่าใช้จ่ายจริงหรือไม่ ดังนั้นงานวิจัยจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการหาคำตอบครั้งนี้ว่า ต้นทุนที่เหมาะสมและมาตรฐานการรักษาที่มีคุณภาพควรอยู่ที่ระดับไหน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบในภาพรวม

นอกจากนี้ โรงพยาบาลก็ควรพยายามดูแลการบริการให้มีความเหมาะสม เพราะโรงพยาบาลไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหากำไร แม้การลดต้นทุนจึงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังคงต้องร่วมกันตัดสินใจด้วยกันในหลายๆ ฝ่าย

นิมิตร์ เทียนอุดม

โอนล่วงหน้าแก้ระยะสั้น ระยะยาวหาราคาใหม่

สำหรับปัญหางบประมาณขาดทุนของโรงพยาบาล ในมุมมองของ นิมิตร์ เขาย้ำว่าระบบบัตรทองยังไม่ได้ถึงทางตัน หากแต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยล่าสุด สปสช. และ สธ. ในฐานะด่านหน้าที่สำคัญของระบบสาธารณสุขไทย ก็กำลังเร่งเดินหน้าหาทางออกและวางแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาครั้งนี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งเมื่อต้นเดือน พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว โดยมีทั้งการบริหารจัดการงบประมาณร่วมกันระหว่าง สปสช. และ สธ. ตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงจะให้ความสำคัญกับงบผู้ป่วยใน (IP) เป็นลำดับแรก เพื่อให้หน่วยบริการมีสภาพคล่องในการดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง

เขาเสริมความเห็นในมุมมองของตนเองว่า แนวทางดังกล่าวถือเป็นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกันที่ดี เพื่อให้การให้บริการเดินหน้าได้จริง โดยเฉพาะแนวทางการ ‘สร้างสภาพคล่อง’ ให้กับโรงพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก ผ่านวิธีการให้ สปสช. โอนเงินงบประมาณค่าบริการผู้ป่วยนอก (OP) และงบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) ปีงบประมาณ 2569 ล่วงหน้าไปก่อน 50% ให้กับหน่วยบริการในสังกัด สธ. ที่กำลังตกที่นั่งลำบากเรื่องงบประมาณ IP อยู่ ซึ่งถือเป็นมาตรการเร่งด่วนในการบรรเทาปัญหาสภาพคล่อง และเป็นเพียงการช่วยเหลือในระยะต้นเท่านั้น

ส่วนระยะต่อมา เขาระบุว่า สปสช. ควรพยายามจัดสรรงบ IP ของแต่ละโรงพยาบาลให้เพียงพอ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การจัดสรรที่สมเหตุสมผล เช่น กำหนดอัตราคงที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW โดยไม่ปรับเกลี่ยหรือรีรัน เพื่อให้หน่วยบริการได้รับงบประมาณที่เหมาะสมกับภาระการให้บริการ เพราะหากมีผู้รับบริการมากแต่รายได้ต่อหน่วยลดลง ก็อาจกระทบต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ด้วยเหตุนี้ บอร์ด สปสช. สัดส่วนภาคประชาชน จึงเห็นควรที่จะสนับสนุนแนวทางการปรับงบประมาณให้สอดคล้องกับภาระงานจริง เนื่องจากรายรับที่เหมาะสมจะช่วยเสริมให้คุณภาพบริการดียิ่งขึ้น

นอกจากนั้นแล้ว นิมิตร์ ยังมองต่อไปถึงอีกสิ่งจำเป็นในการแก้ไขปัญหา คือการบริหารระบบ ซึ่งท่าทีล่าสุดของ สปสช. และ สธ. ก็ได้กำหนดทิศทางในการทำงานร่วมกัน ผ่านการแชร์ข้อมูลซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการระบบสุขภาพ เนื่องจากหากฝ่ายผู้ให้บริการรู้ว่ามีงบประมาณเท่าไรในการให้บริการประชาชน ก็อาจจะสามารถควบคุมงบให้อยู่ในข้อจำกัดได้ รวมถึงหากฝ่ายจัดสรรงบเข้าใจต้นทุนที่แท้จริงว่าฝ่ายผู้ให้บริการจำเป็นต้องใช้งบเท่าไร การบริหารจัดการก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถจ่ายได้เฉพาะในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น แต่ทว่าก็ต้องอยู่บนฐานของข้อมูลที่ตรงกันด้วย

“สปสช. กับ สธ. แยกจากกันไม่ได้ ต้องทำงานร่วมกันบนพื้นฐานของความไว้วางใจและความเชื่อใจ จึงจะเข้าใจกัน ดังนั้นเชื่อว่าหากทั้ง 2 ฝ่ายมีความเข้าใจต่อกัน ก็จะนำไปสู่การพัฒนางานที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังสามารถสร้างระบบบัตรทองให้มีความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาวได้จริง นอกจากนี้การร่วมมือกันดังกล่าวยังจะส่งผลดีอย่างมากต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม เพราะเมื่อมีข้อมูลจริงอยู่ในมือทั้ง 2 ฝ่าย การวางแผนและตัดสินใจก็จะตรงจุดมากขึ้น ทว่าสิ่งสำคัญคือ ความร่วมมือนี้ต้องเกิดขึ้นด้วยความจริงจังและจริงใจ เหมือนเพื่อนร่วมงานที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง อะไรที่ผิดก็ควรกล้าพูดว่าผิด และอะไรที่ถูกก็ควรยืนยันว่าถูก ควรทำงานอยู่บนฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริง จะทำให้ระบบมีความโปร่งใสและเข้มแข็งมากขึ้น” นิมิตร์ ให้ภาพ

‘งบบัตรทอง’ ไม่ได้ขอไว้เผื่อต่อ วอนสำนักงบฯ อย่าตัด

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการแก้ไขปัญหาที่มาจาก สปสช. และ สธ. เพียงลำพังก็อาจยังไม่มากพอที่จะทำให้ระบบบัตรทองดำรงต่อไปได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง ด้วยเหตุนี้อีกบทบาทสำคัญจึงยังเป็นความมือจากทุกภาคส่วน ทั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำนักงบประมาณ โรงพยาบาลผู้ให้บริการ ตลอดจนประชาชนผู้เข้ารับบริการ ที่จะมีส่วนช่วยให้ระบบนี้เดินหน้าต่อไปได้

นิมิตร์ อธิบายว่า ในส่วนของรัฐบาล ซึ่งเป็นผุ้กุมบังเหียนใหญ่ด้านงบประมาณของระบบหลักประกันสุขภาพทั้ง 3 กองทุนของประเทศไทย กล่าวคือ กองทุนประกันสังคม กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนบัตรทอง  ซึ่งปัจจุบันแต่ละกองทุนยังได้รับงบประมาณค่ารักษาพยาบาลไม่เท่ากัน และเป็นสาเหตุให้เกิดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลในฐานะผู้ตัดสินใจเชิงนโยบาย จึงจะต้องเข้าใจภาพรวมของระบบงบประมาณสุขภาพ และช่วยเกลี่ยการจัดสรรงบประมาณให้เกิดความเป็นธรรม ลดช่องว่างระหว่างกองทุน เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น

“รัฐบาลเองก็มีหน้าที่สำคัญในการบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะการบูรณาการงบประมาณร่วมกันระหว่างกองทุนสุขภาพต่างๆ ซึ่งทางสำนักงบฯ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นควรพิจารณาว่าจะทำอย่างไร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างกองทุนต่างๆ ให้มากที่สุด เพราะปัจจุบันแต่ละกองทุนใช้งบประมาณด้านการรักษาพยาบาลไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสาเหตุของความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพ ดังนั้นแทนที่จะมองเพียงว่างบประมาณไม่พอ ควรหันมาร่วมกันพิจารณาด้วยว่า เราจะสามารถกระจายงบประมาณด้านสุขภาพในแต่ละกองทุนอย่างไร ให้เหมาะสมและทั่วถึง” นิมิตร์ กล่าว

ถัดมาที่การจัดสรรงบประมาณ ของสำนักงบประมาณ นิมิตร์ เสนอว่าหากเป็นไปได้ไม่อยากให้ตัดงบมากนัก เนื่องจากงบขาขึ้นที่เสนอไป ไม่ได้เป็นงบเผื่อต่อ แต่เป็นงบที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งในกระบวนการจัดทำงบประมาณของ สปสช. นั้น ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอยู่แล้ว ทั้ง สธ. ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสุขภาพ และตัวแทนภาคประชาชนที่อยู่ในบอร์ด สปสช. รวมถึงสำนักงบฯ เองก็ได้ร่วมกันพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยตั้งงบประมาณอยู่บนพื้นฐานของการคาดการณ์ร่วมกัน เช่น จำนวนผู้ป่วยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีถัดไป อัตราเงินเฟ้อ การปรับขึ้นเงินเดือน ต้นทุนค่าแรงในแต่ละส่วน ฯลฯ

“สปสช. เองมีกลไกและกระบวนการที่เป็นระบบในการพิจารณาเรื่องงบประมาณอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น เมื่อเสนองบขาขึ้นที่คำนวณจากฐานข้อมูลจริง ซึ่งไม่ได้เสนอแบบเกินเหตุ อาทิ ปี 2569 เสนอ Base rate ประมาณ 9,000 กว่าบาท ต่อ AdjRW แต่เมื่อผ่านการพิจารณาของสำนักงบฯ ก็ถูกจัดสรรเหลือ 8,350 บาท ต่อ AdjRW ซึ่งเข้าใจได้ว่าสำนักงบฯ ต้องมองภาพรวมของประเทศด้วย แต่หากเป็นไปได้อยากให้ช่วยกันพิจารณาอย่าตัดงบมากเกินไป ตัดเท่าที่จำเป็นจริงๆ เพราะการตั้งงบขาขึ้นของ สปสช. นั้นอยู่บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผล ไม่ได้ขอเผื่อต่อ แต่ขอเพื่อความจำเป็น ถ้าหากรัฐบาลและสำนักงบฯ สามารถจัดสรรงบให้ได้ตามคำที่ขอ ก็จะช่วยลดปัญหางบประมาณไม่เพียงพอได้ในระดับใหญ่ทีเดียว” บอร์ด สปสช. รายนี้ระบุ

นิมิตร์ เทียนอุดม

‘ประชาชน’ ต้องมีส่วนดูแลสุขภาพ-ลดบริการไม่จำเป็น

นอกจากนี้ ในอีกประเด็นสำคัญที่สำนักงบฯ หรือรัฐบาล ต้องร่วมกันพิจารณาเพิ่มเติม คือ ความไม่สอดคล้องกันระหว่างอัตราการปรับขึ้นเงินเดือน กับงบประมาณที่จัดสรรให้ กล่าวคือ ในบางปีอัตราการปรับขึ้นค่าแรงนั้นสูงถึง 10% ทว่าเมื่อพิจารณางบประมาณที่หน่วยบริการได้รับ พบว่ามีการเพิ่มขึ้นเพียง 7% และความแตกต่างถึง 3% นี้ แสดงให้เห็นว่างบประมาณที่จัดสรรให้ไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริงได้ จึงส่งผลให้หน่วยบริการหรือโรงพยาบาลต้องแบกรับภาระส่วนต่าง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องมีการทบทวนและพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าหน่วยบริการจะได้รับงบประมาณด้านบุคลากรที่เหมาะสมและเป็นธรรมมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น นิมิตร์ ยังสะท้อนถึงอีกมุมว่า หากฝ่ายผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลต่างๆ สามารถควบคุมค่าใช้จ่าย เช่น ต้นทุนการให้บริการ หรือแนวทางการรักษาให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ก็อาจจะช่วยให้งบประมาณค่าใช้จ่ายไม่สูงมากเกินไปจนไม่เพียงพอ ซึ่งหากไม่มีการควบคุมร่วมกัน ต่อให้งบประมาณจะมีมากเพียงใดก็อาจไม่เพียงพอ ดังนั้นหากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะโรงพยาบาล ร่วมกันบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ระบบมีความยั่งยืนและสามารถใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ท้ายที่สุด เขาเน้นย้ำว่าจะขาดความร่วมมือจากภาคประชาชนไปไม่ได้ เพราะประชาชนที่อยู่ภายใต้บัตรทองมีกว่า 48 ล้านคน ด้วยเหตุนี้ หากได้รับกำลังจากประชาชนทุกคนมาช่วยกันแก้ไขงบประมาณไม่เพียงพอที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ ผ่านการควบคุมงบประมาณ ก็จะส่งผลให้ระบบมีความเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น

“ประชาชนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืนของระบบบัตรทอง โดยอาจต้องเริ่มจากการร่วมกันดูแลสุขภาพตนเอง ผ่านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อไม่ให้ตนเองต้องเจ็บป่วยรุนแรงหรือเกิดโรครักษายาก ดังนั้นการดูแลสุขภาพพื้นฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็น” นิมิตร์ อธิบายเสริม

นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงการเข้าใช้สิทธิการรักษาตามความจำเป็น แม้จากข้อมูลที่ผ่านมาจะพบว่าประชาชนที่ป่วยด้วยอาการไม่รุนแรง เช่น ไข้หวัด ปวดท้อง ฯลฯ มีการเข้ารับบริการเฉลี่ยอยู่ที่ 3-4 ครั้งต่อปี ซึ่งยังไม่ถึงขั้นที่พบแพทย์มากเกินความจำเป็น จึงนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงต้องย้ำเตือนให้ประชาชนช่วยกันเสมอ เพื่อให้ระบบสุขภาพของประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ขณะเดียวกัน ประชาชนเองก็ยังมีส่วนสำคัญในการร่วมคิด และร่วมดูแลสิทธิประโยชน์ที่ตนเองมีอยู่ให้เกิดความเหมาะสม รวมถึงการเสนอเพิ่มสิทธิประโยชน์ก็ควรเป็นไปตามความจำเป็นทางสุขภาพที่แท้จริงด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศให้อยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล ทั้งประชาชน หน่วยบริการ และภาครัฐต้องช่วยกัน

ถึงสุดท้ายไม่มีใครอยากเห็นประชาชน ‘ร่วมจ่าย’

มาถึงตรงนี้แล้วจะเห็นได้ว่า แนวทางการแก้ไขปัญหางบบัตรทองไม่เพียงพอมีได้หลายทิศทาง ไม่ว่าจะเป็น ความร่วมมือระหว่าง สปสช. กับ สธ. หรือความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เข้ามาร่วมขับเคลื่อนแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นหากดำเนินการตามแนวทางต่างๆ แล้วพบว่าปัญหายังคงอยู่เช่นเดิม ทางออกต่อไปจึงเป็นการขอปรับเพิ่มงบประมาณ เพื่อให้เพียงพอต่อการดำเนินงานในระบบบัตรทอง

“หากงบประมาณที่จัดสรรยังไม่เพียงพอ ก็จำเป็นต้องร่วมกันผลักดันให้สำนักงบประมาณ หรือ ครม. จัดสรรเพิ่มเติมเท่าที่จำเป็น เพื่อช่วยทุเลาปัญหาด้านงบประมาณที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้” นิมิตร์ ระบุ

นิมิตร์ กล่าวอีกว่า แม้ทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่างบประมาณจะต้องเพียงพอ แต่ก็ต้องอยู่บนหลักการงบปลายปิดคือ บริหารภายใต้วงเงินจำกัด และควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ภาระงบประมาณของประเทศเพิ่มขึ้นจนต้องให้ประชาชนร่วมจ่าย เพราะในทางปฏิบัติ ความสามารถในการร่วมจ่ายของประชาชนไม่เท่ากัน และอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการรักษาพยาบาล

“ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งผู้ให้บริการ รวมถึง สธ. เอง ก็ไม่ได้ต้องการให้สถานการณ์ไปถึงขั้นที่ประชาชนต้องร่วมจ่ายในการรักษาพยาบาล ขณะเดียวกันภาคการเมืองก็มีความกังวลในประเด็นนี้เช่นกัน เนื่องจากเห็นว่าไม่ควรให้ระบบต้องใช้งบประมาณจนถึงจุดที่ผลักภาระไปยังประชาชน เพราะความสามารถในการร่วมจ่ายของประชาชนแต่ละกลุ่มนั้นไม่เท่ากัน ซึ่งจะขัดต่อหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ต้องการให้ทุกคนเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม” บอร์ด สปสช. ภาคประชาชน กล่าวทิ้งท้าย

ปรึกษาปัญหาผู้บริโภค