สภาผู้บริโภค ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด โต้แย้งคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น กรณีค้านมติ กสทช. ที่ส่งผลให้เกิดการควบรวม กิจการโทรคมนาคมในปี 2565 ปกป้องสิทธิผู้บริโภคจากการผูกขาดโทรคมนาคม เล็งหารือนายกอนุทิน ผลักดันแพ็กเกจ 100 บาท ส่วนทนายความสภาผู้บริโภค เปิดประเด็นอุทธรณ์ร่วมปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ
กรุงเทพฯ – 20 ตุลาคม 2568 ที่ศาลปกครองสูงสุด สภาผู้บริโภคได้ยื่นคำอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่มีมติ “รับทราบ” ส่งผลให้เกิดการ ควบรวม กิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ทรู” และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ดีแทค” เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565
สำหรับการดำเนินการครั้งนี้เป็นการสู้คดีในชั้นศาลปกครองสูงสุด หลังจากเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง โดยสภาผู้บริโภคยืนยันว่าการยื่นอุทธรณ์ครั้งนี้เป็นภารกิจตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ให้สภาผู้บริโภคทำหน้าที่แทนประชาชนในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของบริการโทรคมนาคมของผู้บริโภคทั้งประเทศที่ต้องได้รับบริการเป็นธรรม และการทำให้บริการโทรคมนาคมมีความหลากหลาย เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและป้องกันการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคม โดยทนายความสภาผู้บริโภค เปิด 3 ประเด็นอุทธรณ์ทั้ง การลงมติของคณะกรรมการ กสทช. ที่ขัดต่อหลักเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด การตีความว่าการรวมธุรกิจไม่จำต้องขออนุญาตจาก กสทช. และการละเลยกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญต่อโครงสร้างการกำกับดูแลโทรคมนาคมของประเทศไทย
สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ในปัจจุบันกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยแทบไม่มีการแข่งขันเกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือที่ไม่มีทางเลือก และหน่วยงานที่กำกับดูแลอย่าง กสทช. ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม สภาผู้บริโภคจึงต้องทำหน้าที่ตัวแทนผู้บริโภคในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคพร้อมปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ นำไปสู่ขั้นตอนการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในคดีควบรวม ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด กลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น จึงหวังพึ่งบารมีของศาลปกครองสูงสุดให้พิจารณาในมุมของผลประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
ทั้งนี้สภาผู้บริโภคขอเชิญชวนผู้บริโภคมาร่วมใช้พลังของตนเองในการติดตามความคืบหน้าการพิจารณาคดีในครั้งนี้ และร่วมส่งเสียงใช้พลังสิทธิของตนเองที่ถูกกระทบจากการควบรวมโทรคมนาคม ส่วนกระบวนการต่อจากนี้ไปสภาผู้บริโภคจะมุ่งปกป้องผลประโยชน์และเป็นกระบอกเสียงให้แก่ผู้บริโภคอย่างเต็มกำลัง ทั้งการรณรงค์ต่อภาคสังคมต่อไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สร้างการตระหนักรู้เพื่อทำให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรม ตลอดจนการยื่นข้อเสนอแก่พรรคการเมืองต่างๆ ร่วมกันผลักดันให้เกิดการคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะอย่างเป็นรูปธรรม
“สภาผู้บริโภคไม่ได้มีความขัดแย้งกับ กสทช. หรือภาคเอกชน แต่การดำเนินคดีครั้งนี้เป็นการลุกขึ้นมาต่อสู้แทนผู้บริโภค เพราะหากไม่มีใครทำหน้าที่นี้ ก็จะไม่มีใครปกป้องสิทธิของผู้บริโภคอีกต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมา กสทช. ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม จึงต้องมีองค์กรของประชาชนลุกขึ้นมาเป็นปากเป็นเสียงแทนผู้บริโภค ซึ่งสภาผู้บริโภคพร้อมเดินหน้าตรวจสอบและใช้ช่องทางใหม่ ๆ ในการเป็นกระบอกเสียงให้แก่ผู้บริโภคอย่างเต็มกำลัง” สุภิญญา กล่าว
สิทธิผู้บริโภคไม่ควรหายไปกับการผูกขาด
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค กล่าวถึง การยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อร่วมคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค เนื่องจาก สภาผู้บริโภคมีสิทธิตามกฎหมายในการเป็นโจทก์แทนประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค ตามพระราชบัญญัติสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 และเป็นการใช้กลไกทางศาลเพื่อปกป้องสิทธิผู้บริโภคในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมที่เป็นธรรม
ทั้งนี้จากการติดตามผลกระทบการควบรวม รวมของกิจการโทรคมนาคมในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในทั่วประเทศ โดยได้อ้างอิงข้อมูลจากรายงานการติดตามหลังการควบรวม พบว่าผู้บริโภคจำนวนมากประสบปัญหา ค่าบริการแพงขึ้น และ แพ็กเกจถูกปรับโดยไม่ได้รับความยินยอม รวมถึงคุณภาพสัญญาณและบริการลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ตลอดจนเผชิญปัญหาทางเลือกของผู้บริโภคในตลาดลดลงเหลือเพียง 2 ค่ายหลักเท่านั้น ซึ่งเข้าข่ายผูกขาดตลาด
ขณะเดียวกันหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. มีหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ และต้องใช้กฎหมายให้เกิดผลจริง แต่ที่ผ่านมากลับละเลยหน้าที่สำคัญหลายประการ เช่น ไม่เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภคอย่างรอบด้าน การไม่เผยแพร่รายงานผลกระทบต่อการแข่งขันอย่างโปร่งใส และไม่กำกับให้ผู้ประกอบการลดอัตราค่าบริการลง 12% ตามที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขมาตรการเฉพาะที่เคยประกาศไว้หลังการลงมติดังกล่าว
สารี กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันมีการเปิดลงทะเบียนคนละครึ่งพลัสผ่านแอปพลิเคชันของภาครัฐ โดยประชาชนต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการลงทะเบียน แสดงให้เห็นได้ว่าอินเทอร์เน็ตเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค ร่วมกับเครือข่ายองค์กรสมาชิกของสภาผู้บริโภคกว่า 350 องค์กร ใน 58 จังหวัดทั่วประเทศ ชักชวนผู้บริโภคร่วมกันลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสาร เช่น การเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่มีราคาถูกลงของทุกเครือข่าย เฉลี่ยคนละ 100 – 200 บาทต่อเดือน รวมถึงอยากฝากถึงนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล กำหนดนโยบายราคาบริการพื้นฐานโทรคมนาคม ที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ อาทิ ค่าโทรและอินเทอร์เน็ต ในราคาประมาณ 100 บาทต่อเดือน เพื่อสร้างหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการสื่อสารของคนไทย
ทนายสภาผู้บริโภคเปิดประเด็นอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดปัญหาเชิงโครงสร้างโทรคมนาคม
ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความสภาผู้บริโภค กล่าวถึง การยื่นอุทธรณ์คดีควบรวม ทรู–ดีแทค ต่อศาลปกครองสูงสุดว่า สภาผู้บริโภคไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางในหลายประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นหลัก ประการแรก การลงมติของคณะกรรมการ กสทช. ขัดต่อหลักเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด (Absolute Majority) การประชุมคณะกรรมการ กสทช. (นัดพิเศษ) ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ซึ่งประธานกรรมการ กสทช. ใช้อำนาจออกเสียง “เบิ้ล” หรือออกเสียงเพิ่มอีกหนึ่งเสียงในกรณีคะแนนเสียงเท่ากัน ถือเป็นการนับคะแนนเสียงข้างมากที่ขัดต่อหลักการประชุมเพื่อหามติแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด (Absolute Majority) เนื่องจากการลงมติดังกล่าวเป็น “มติพิเศษ” ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด ตามข้อ 41 วรรคหนึ่ง (2) ของระเบียบคณะกรรมการ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ พ.ศ. 2555 ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น กสทช. เคยใช้วิธี “เลื่อนการประชุม” เพื่อรอให้ได้องค์ประกอบของเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด เช่น การประชุมครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 การที่ศาลปกครองกลางวินิจฉัยรับรองให้ประธานมีเสียงชี้ขาดเพิ่มอีกหนึ่งเสียงในเรื่องที่ต้องใช้มติพิเศษ จึงเป็นการตีความที่อาจส่งผลต่อหลักเกณฑ์การประชุมของหน่วยงานอื่น ๆ ที่ต้องใช้มติพิเศษตามกฎหมาย
ประการต่อมาศาลวินิจฉัยคลาดเคลื่อนในประเด็น “การรวมธุรกิจไม่จำต้องขออนุญาต” สภาผู้บริโภคเห็นว่า การที่ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าการรวมธุรกิจโทรคมนาคมไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจาก กสทช. ทุกกรณี โดยสภาผู้บริโภคไม่เห็นด้วย เนื่องจากข้อ 9 ของประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม กำหนดชัดว่า “การรายงานตามข้อ 5–8 ให้ถือเป็นการขออนุญาต” ตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการผูกขาดหรือการแข่งขันไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2549 คำว่า “ถือว่า” ในทางกฎหมาย เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดที่ห้ามตีความเป็นอย่างอื่น ดังนั้น กสทช. ต้องใช้อำนาจพิจารณาและมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตอย่างชัดแจ้ง การไม่ดำเนินการเช่นนั้นถือเป็นการ “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด”
สำหรับประการสุดท้าย ศาลตีความผิดในประเด็น “การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน” ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจฯ ไม่มีบทบัญญัติให้ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งสภาผู้บริโภคเห็นว่าเป็นการพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง เพราะประกาศดังกล่าวเป็นกฎหมายเฉพาะ และต้องอยู่ภายใต้หลักการของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 58 ที่บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในกรณีที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติหรือคุณภาพชีวิตของประชาชน การควบรวม ธุรกิจโทรคมนาคมเกี่ยวข้องโดยตรงกับ “คลื่นความถี่” ซึ่งเป็นสมบัติของชาติและทรัพยากรธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคโดยตรง ดังนั้น กสทช. จึงต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนมีมติรับทราบการรวมธุรกิจ ทั้งนี้ สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุดที่ 592/2552 ดังเช่น คดีมาบตาพุด ซึ่งยืนยันหลักการว่ากรณีเช่นนี้ต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
“การอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อให้สังคมเห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกฎหมายโทรคมนาคม รวมถึงอำนาจ กสทช. ที่ต้องแก้ไข รวมถึงผลกระทบจากการปล่อยให้การผูกขาดเกิดขึ้น ซึ่งสุดท้ายผู้บริโภคคือผู้ที่ต้องแบกรับภาระโดยตรง รวมถึงแสดงถึงจุดยืนของสภาผู้บริโภคในการทำหน้าที่ปกป้องสิทธิของผู้บริโภคในกิจการสื่อสารและโทรคมนาคม ซึ่งเป็นบริการพื้นฐานของประชาชนที่ทุกคนต้องได้รับบริการขั้นพื้นฐานอย่างเสรีและมีทางเลือกที่หลากหลาย ไม่เกิดการผูกขาด” ดร.วศิน กล่าวทิ้งท้าย

